6 ก.ค. 2557
สวมชุดแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มันคือความสุดยอด
คลิกเลย แทงบอล กับเราที่ทำให้คุณมั่นใจ
รับโปรโมชั่นสุดคุ้ม สมัคใหม่ 500 บาทรับฟรีอีก 300 บาท
สุดยอดกลับฝากครั้งต่อไป ด้วยอีก 30% จากยอดนั้นทันที่
อดีตปราการหลังคนสำคัญของทีมปีศาจแดงเล่าให้ฟังถึงความยิ่งใหญ่ของการได้สวมชุดสโมสรที่ใหญ่ที่สุดของอังกฤษ ก่อนที่จะมีการเปิดตัวเสื้อชุดใหม่ที่สนับสนุนโดย เชฟโรเลต
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สวมชุดสีแดงในเกมเหย้ามานานถึง 80 ปีแล้ว ในช่วงเวลาระหว่างนั้นมันได้รับการยกย่องว่าเป็นชุดกีฬาที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นที่สุดชุดหนึ่งในบรรดาชุดกีฬาทั้งหมดที่เคยมีในประวัติศาสตร์
ขนาดและอิทธิพลของสโมสรเป็นเรื่องที่ยากจะหาใครเทียบเท่า ไม่เพียงเฉพาะความเชื่อมั่นจากตัวนักเตะเท่านั้น แต่ยังรวมถึงแฟนบอลหลายล้านคนทั่วโลกที่หลอมรวมกันภายใต้เสื้อสีดังกล่าว
สำหรับแกรี พัลลิสเตอร์ ตำนานแมนฯ ยูไนเต็ด ผู้เซ็นสัญญาเมื่อปี 1989 เพียง 5 ปี หลังจากเล่นให้ทีมนอกลีกอย่างบิลลิงแฮม ทาวน์ มันไม่ใช่เรื่องที่ต้องใช้เวลามากมายเลยในการเข้าใจว่าอะไรอยู่รอบตัวเขาเมื่อเล่นในบ้านของตัวเอง
"คุณไม่จำเป็นต้องเตรียมตัวมาก่อนเลยเพื่อจะรู้ว่าแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดคืออะไร ตอนที่คุณไปถึงที่นั่น" พัลลิสเตอร์กล่าว "มันเหมือนกับว่าคุณเดินทางไปต่างประเทศที่ไหนสักแห่งอย่างเอเชีย แล้วคุณก็จะเข้าใจได้ดีว่าสโมสรนี้ยิ่งใหญ่เพียงใด
"ผมไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าชีวิตค้าแข้งของผมจะได้รับโทรศัพท์จากสโมสรที่ใหญ่ที่สุดในโลก ผมเริ่มต้นชีวิตค้าแข้งของผมค่อนข้างช้า ตอนอายุ 19 ผมยังเล่นให้ทีมนอกลีกอยู่เลย และผมก็แค่พอใจที่ได้เล่นฟุตบอลอาชีพในทุกระดับเท่านั้นเอง
"ทุกอย่างมันหมุนติ้วไปหมดตลอดทางไปแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มันเป็นหนึ่งในความทรงจำที่ผมจำได้ดี ผมแทบไม่อยากเชื่อเลยว่ามันเกิดขึ้นกับผม แต่ผมก็เข้าใจได้ในที่สุดว่าพวกเขายื่นข้อเสนอมาหาผม"
เพื่อเป็นหมุดหมายแห่งการเริ่มต้นสัญญาเป็นสปอนเซอร์นาน 7 ปี กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด พัลลิสเตอร์ได้ทำการร่วมกับตำนานของสโมสรรายอื่นๆ ถ่ายวิธีโอเล่าถึงตำนานของเสื้อสโมสรอันยิ่งใหญ่นี้
ภาพยนตร์ของเชฟโรเลตรวมภาพแฟนบอลในประวัติศาสตร์ที่เดินผ่านถนนของแมนเชสเตอร์กับผู้เล่นทั้งในอดีตและปัจจุบัน พร้อมร้องเพลง ‘Glory, Glory Man Utd’
จากการร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการรำลึกถึงความทรงจำสุดพิเศษที่ได้สวมชุดสีแดงในโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด สำหรับพัลลิสเตอร์ ซึ่งเป็นสิ่งที่มีความหมายมากสำหรับเขาและแฟนบอลทั้งหลาย "ตอนที่ได้สวมชุดจริงๆ ลงสนามครั้งแรก และเล่นให้ที่นี่เป็นหนึ่งในความทรงจำที่เหนือจริงที่สุดของผม" เขากล่าว
"มีหลายสิ่งหลายอย่างผ่านเข้ามาในหัวของผม ช่วงเวลา 2-3 ปีที่ผมเล่นให้บิลลิงแฮม ทาวน์ จากนั้นก็เป็นมิดเดิลสโบรห์ แล้วผมก็มานึกถึงเสื้อตัวที่ผมใส่อยู่ และที่ที่ผมใส่เสื้อที่ยิ่งใหญ่มากๆ ตัวนี้อยู่ มันทำให้ผมสั่นไปถึงกระดูกสันหลังเลยทีเดียว"
ประวัติศาสตร์ของสโมสรเป็นส่วนสำคัญที่นักเตะยูไนเต็ดทุกคนควรจะต้องรู้ แต่พัลลิสเตอร์ยืนยันว่าเขาไม่ได้ไปนั่งนึกถึงบรรดานักเตะชื่อดังที่เคยใส่เสื้อเบอร์ 6 มาก่อนเขา เขาแค่ดูแลมันเป็นอย่างดี จนกระทั่งในปี 2011 จอนนี อีแวนส์ ก็เล่าให้ฟังถึงบทสนทนาที่เขาคุยกับ อเล็กซ์ บรูซ แข้งฮัลล์ ซิตี้ ซึ่งเป็นลูกชายของสตีฟ บรูซ คู่ขาของพัลลิสเตอร์ในแนวรับ โดยพวกเขาพูดกันถึงว่า อีแวนส์ได้สวมเบอร์เสื้อของ พัลลิสเตอร์
"เบอร์เสื้อก็เหมือนเป็นของส่วนตัวของผม" พัลลิสเตอร์บอก "เบอร์หกเป็นเบอร์ที่ผมใส่มาโดยตลอดตั้งแต่อยู่กับมิดเดิลสโบรห์ และผมก็ดีใจมากที่ได้ใส่มันที่ยูไนเต็ด ผมว่ามันคงเป็นเรื่องเหนือธรรมชาตินะ แต่ผมก็ไม่ได้คิดถึงผู้เล่นในอดีตมากนักหรอก ในสมองของผมคิดถึงแต่เรื่องในปัจจุบัน และพยายามตั้งใจเล่นภายใต้เสื้อชุดนี้ รวมถึงพิสูจน์ตัวเองกับแฟนบอลว่าผมคุ้มค่าตัวและเหมาะที่จะได้มาอยู่ในทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด"
ยูไนเต็ดออกเสื้อลายเหลืองเขียวมาเมื่อปี 1992-93 เพื่อฉลองครบรอบร้อยปีของเกมลีกนัดแรกที่ยังเล่นภายใต้ชื่อทีมนิวตัน ฮีธ ซึ่งกลายมาเป็นแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดในภายหลัง ก่อนที่จะมีจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ครั้งหนึ่งที่พวกเขาคว้าแชมป์ลีกสูงสุด ซึ่งกลายมาเป็นพรีเมียร์ลีก ได้สำเร็จเมื่อปี 1967
มีความเปลี่ยนแปลงมากมายตั้งแต่ปี 1982 แต่ที่ยูไนเต็ดก็เหมือนเช่นอีกหลายสโมสรยักษ์ใหญ่ในประเทศอังกฤษ หลายสิ่งหลายอย่างก็ยังคงเหมือนเดิม ความซาบซึ้งที่ได้อยู่กับสโมสรแห่งนี้ จากความยิ่งใหญ่ในยุโรปมาถึงความสัมพันธ์กับชุมชนท้องถิ่นเป็นเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้ “เมื่อคุณได้อยู่รอบๆ สโมสร คุณจะเข้าใจได้เองว่ามันพิเศษอย่างไร" พัลลิสเตอร์กล่าว
"อย่างนึงที่คุณได้รับการบอกกล่าวมาก่อนมาถึงที่นี่ก็คือประวัติศาสตร์และธรรมเนียมที่ยิ่งใหญ่ รวมถึงความหมายของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่มีต่อผู้คนมากมาย คุณต้องได้รับรู้ถึงสิ่งนั้น ประวัติศาสตร์เป็นส่วนสำคัญที่จะบอกว่าแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดคืออะไร มันเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาของคุณทีเดียว"
5 ก.ค. 2557
ฟุตบอลในประเทศไทย
หนึ่งเดียวที่ นักแทงบอล เชื่อใจเป็นอันดับ 1 การเงินมั่นคง
บริการประทับใจ ฝากถอนไม่ต้องรอนาน
มีโปรโมชั่นและมีของรางวัลอีกมากมายให้ร่วมสนุก
ทั้งเดือนเล่นเสียเท่าไรเราคืนให้ 5%
กีฬาฟุตบอลในประเทศไทย ได้มีการเล่นตั้งแต่สมัย "พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว" รัชกาลที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสิทร์ เนื่องจากสมัยรัชกาลที่ 5 พระองค์ได้ส่งพระเจ้าลูกยาเธอ พระเจ้าหลานยาเธอ และข้าราชบริพารไปศึกษาวิชาการด้านต่างๆ ที่ประเทศอังกฤษ และผู้ที่นำกีฬาฟุตบอลกลับมายังประเทศไทยเป็นคนแรกคือ "เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี (สนั่น เทพหัสดิน ณ อยุธยา)" หรือ ที่ประชนชาวไทยมักเรียกชื่อสั้นๆว่า "ครูเทพ" ซึ่งท่านได้แต่งเพลงกราวกีฬาที่พร้อมไปด้วยเรื่องน้ำใจนักกีฬาอย่างแท้จริง เชื่อกันว่าเพลงกราวกีฬาที่ครูเทพแต่งไว้นี้จะต้องเป็น "เพลงอมตะ" และจะต้องคงอยู่คู่ฟ้าไทย เมื่อปี พ.ศ. 2454-2458 ท่านได้ดำรงตำแหน่งเป็นเสนาบดีกระทรวงธรรมการครั้งแรก เมื่อท่านได้นำฟุตบอลเข้ามาเล่นในประเทศไทยได้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆมากมาย โดยหลายคนกล่าวว่า ฟุตบอลเป็นกีฬาที่ไม่เหมาะสมกับประเทศที่มีอากาศร้อน เหมาะสมกับประเทศที่มีอากาศหนาวมากกว่า และเป็นเกมที่ทำให้เกิดอันตรายต่อผู้เล่นและผู้ชมได้ง่าย ซึ่งข้อวิจารณ์ดังกล่าวถ้ามองอย่างผิวเผินอาจคล้อยตามได้ แต่ภายหลังข้อกล่าวหาดังกล่าวก็ได้ค่อยหมดไปจนกระทั่งกลายเป็น กีฬายอดนิยมที่สุดของประชาชนชาวไทยและชาวโลกทั่วทุกมุมโลก ซึ่งมีวิวัฒนาการดังกำลังอยู่ระหว่างปรับปรุงข้อมูลต่อไปนี้ | ||
|
4 ก.ค. 2557
โจ้ หลังเท้า สืบศักดิ์ ผันสืบ
หนึ่งเดียวที่ นักแทงบอล เชื่อใจเป็นอันดับ 1 การเงินมั่นคง
บริการประทับใจ ฝากถอนไม่ต้องรอนาน
มีโปรโมชั่นและมีของรางวัลอีกมากมายให้ร่วมสนุก
ทั้งเดือนเล่นเสียเท่าไรเราคืนให้ 5%
"โจ้ หลังเท้า" เพียงแค่ฉายาที่กล่าวถึง เชื่อว่าแฟนตะกร้อไทยต้องรู้จักกับเจ้าของฉายานี้ได้เป็นอย่างดี เพราะ " โจ้ หลังเท้า" คือฉายาที่ถูกตั้งขึ้นมาด้วยลักษณะการเสิร์ฟลูกที่ไม่เหมือนใคร เสิร์ฟไปแต่ละครั้งคู่ต่อสู้เปิดบอลได้ยาก และนั้นคือจุดที่ทำให้ไทยสามารถโค่น"เสือเหลือง" มาเลเซีย เจ้ากีฬาลูกหวายในอดีตลงได้อย่างราบคาบ
ก่อนปี 2541 ทุกครั้งที่ไทยลงสังเวียนฟาดฟันกับ มาเลเซีย ไทยไม่เคยเอาชนะมาเลเซียได้เลยแม้แต่ครั้งเดียว
แต่...เมื่อในวงการเกิด" โจ้ หลังเท้า" สืบศักดิ์ ผันสืบ ขึ้นมาในวงการ นั้นทำให้วงการตะกร้อไทยสุดจะคึกคัก และมีสีสันขึ้นอย่างชัดเจน
โดยเฉพาะการแข่งขันเอเชียนเกมส์ครั้งที่า 13 ปี 2541 ที่ไทยเป็นเจ้าภาพ สืบศักดิ์ เพิ่งจะก้าวผ่านจาเยาวชนขึ้นมาเล่นทีมชาติชุดใหญ่ได้เพียงแค่ 3 ปีเท่านั้น แต่เป็นระยะเวลาที่ทำให้ "โจ้หลังเท้า" แจ้งเกิดในวงการตะกร้อไทยได้อย่างเต็มภาคภูมิ ด้วยการพาทีมหวายไทยโค่น" เสือเหลือง" มาเลเซีย คว้าเหรียญทองในการแข่งขันเอเชียนเกมส์ได้เป็นครั้งแรก
นั้นกลายเป็นจุดเริ่มต้นหวายไทยที่กลายเป็น"ดาวค้างฟ้า" ชาติใดก็มิอาจจะสอยลงมาได้ แม้จะมีคู่แข่งสลับหน้ากันมาขับเคี่ยวกับไทยแต่ก็ต้องล่าถอยทัพกลับไปเพราะยังทานกับลูกเสิร์ฟเก็บแต้มของ" โจ้" สืบศักดิ์ไม่ได้
"ผมเล่นตะกร้อมาตั้งแต่เด็กๆ ก้าวมาติดทีมชาติได้ตามสเต๊ป เริ่มจากเล่นกีฬานักเรียน, กีฬาเยาวชน และในปี 2538 ก็มีชื่อติดเยาวชนทีมชาติ ปี 2539 ก็ขึ่นมาติดชุดใหญ่ ส่วนที่มาของการเสิร์ฟหลังเท้าคือเริ่มจากการฝึกฝน หากเราเสิร์ฟ ปกติ ซึ่งใครๆ ก็เสิร์ฟได้ ความดุดันมีไม่มาก แต่ถ้าฝึกเสิร์ฟหลังเท้าได้ ความแรงของลูก และทิศทางจะดีกว่า นั้นทำให้ผมเริ่มต้นฝึกขึ้นมาจากลายเป็นที่สนใจของพี่ๆ นักข่าวที่ตามติดมาทำข่าว และแมตซ์ที่ประทับใจมากที่สุดคือ ภาพที่ไทยเอาชนะ มาเลเซียในการแข่งขัน อชก. 13 นั้นเป็นชัยชนะครั้งแรกของไทยในการแข่งขันระดับเอเชียนเกมส์ นั้นคือแมตซ์ที่ผมเองประทับใจมากสุดในชีวิตผม "
" โดยเฉพาะสยามกีฬาได้ส่งทีมงานมาเกาะติดการฝึกซ้อม นักกีฬาไปไหนก็จะมีทีมข่าวของสยามกีฬาตามไปด้วยเรียกว่าเป็นการทำข่าวที่เข้มข้น เจาะลึก และให้ความใกล้ชิดกับนักกีฬา จนทำให้เรารู้สึกไม่เขิน ไม่อายที่จะให้สัมภาษณ์ หรีอทำอะไรตามที่พี่ๆ นักข่าวยบอก และผมคิดว่ากีฬาตะกร้อที่บูม และดังขึ้นได้ ส่วนหนึ่งเกิดจากการนำเสนอข่าวของสยามกีฬา ที่นำภาพ และข่าวเกี่ยวกับภาระกิจต่างๆ นำเสนอผ่านหนังสือพิมพ์ อย่างต่อเนื่องทำให้ประชาชนรับรู้ถึงความเคลื่อนไหวของตะกร้อไทยว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง"
" ส่วนการพัฒนาของวงการตะกร้อไทยผมว่าสมัยนี้เด็กมีโอกาสดีกว่าตอนที่ผมเล่นเพราะมีการแข่งขันไทยแลนด์ลีกให้นักกีฬาได้ปะทะฝีมือกับนักกีฬาระดับทีมชาติ ต่างกับสมัยก่อนจะแข่งกันเอง เด็กไม่มีโอกาสได้เล่นกับทีมชาติ นักกีฬาในยุคนี้จึงพัฒนากันเร็ว และทำให้มีโอกาสในทุกๆ ด้านทั้งการเรียน การงาน ขึ้นอยู่ว่าใครจะกอบโกยได้มากแค่ไหน และในผมในฐานะนักกีฬาที่ได้รับการสนับสนุนจากหนังสือพิมพ์สยามกีฬามาตลอด ก็ขอให้สยามกีฬานำเสนอข่าวสารวงการกีฬาอย่างเจาะลึก และเกาะเหมือนที่ผ่านมา โดยเฉพาะกีฬาตะกร้อ อยากให้มีข่าวออกมาอย่างต่อเนื่องทำให้ประชาชนได้รู้ข่าวสารความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้น และขอให้สยามกีฬาเป็นหนังสือพิมพ์กีฬาที่อยู่คู่แฟนกีฬาตลอดไปคับ"
3 ก.ค. 2557
แบ็กซ้ายตีนระเบิด
คลิกเลย แทงบอล กับเราที่ทำให้คุณมั่นใจ
รับโปรโมชั่นสุดคุ้ม สมัคใหม่ 500 บาทรับฟรีอีก 300 บาท
สุดยอดกลับฝากครั้งต่อไป ด้วยอีก 30% จากยอดนั้นทันที่
โรแบร์โต้ คาร์ลอส (Roberto Carlos)
หากจะกล่าวถึงแบ็กซ้ายที่ดีที่สุดของโลก
จากทุกยุคทุกสมัยของฟุตบอล ผมเชื่อเหลือเกินว่า ชื่อของ โรแบร์โต้-คาร์ลอส (Roberto
Carlos) น่าจะเป็นชื่ออับดับต้นๆ ที่ผู้คนในวงการฟุตบอล
รวมไปถึงเหล่าคนดูบอลทั้งหลายกล่าวถึง โรแบร์โต้ คาร์ลอส นั้นเป็นชาวบราซิลเลี่ยน
เกิดเมื่อวันที่ 10 เมษายน ปี 1973
มีส่วนสูงเพียง 168 เซนติเมตร และน้ำหนัก 70
กิโลกรัม ซึ่งก็แน่นอนว่าสัดส่วนของร่างกายประมาณนี้ เมื่อเทียบกับนักเตะระดับโลก
ย่อมเป็นสัดส่วนร่างกายที่ค่อนข้างเล็กมาก แต่กระนั้น พละกำลังของ คาร์ลอส
กลับตรงกันข้ามกับสัดส่วนร่างกาย
เพราะถึงแม้ว่า
คาร์ลอส จะรูปร่างเล็ก แต่เขากลับมีพละกำลังที่มากมายไม่แพ้นักเตะตัวใหญ่ๆเลย
ดังที่เราเห็นได้จาก ลูกยิงไกลอันหนักหน่วงของ โรแบร์โต้ คาร์ลอส ซึ่งเป็นหนึ่งในเอกลักษณ์ที่น่าจดจำมากๆของคาร์ลอส
เพราะยุคสมัยนี้ หาได้ยากมากที่จะมีนักเตะที่รูปร่างไม่สูงใหญ่ แต่เท้าหนัก
ดังเช่น คาร์ลอส
ทีนี้เรามาดูกันในส่วนของประวัติการค้าแข้งของคาร์ลอสกันบ้างดีกว่าครับ ก็คือ
ในช่วงปี 1990-1991 คาร์ลอส เล่นให้ทีม ยูนิเอา เซา เจา ดิ อราราส
ปี 1992-1994 เล่นให้ทีม ฟัลไมรัส ปี 1995-1996
ย้ายมาเล่นให้กับยอดทีมแห่งอิตาลี อินเตอร์ มิลาน จากนั้นในปี 1996-2007
ก็มาสร้างชื่อเสียงอันโด่งดังอยู่กับ รีล มาดริด ยอดทีมของสเปน
ต่อด้วยการมาเล่นให้เฟเนร์บาเช่ ในช่วงปี 2007-2009
ก่อนที่จะย้ายมาอยู่กับ โครินเธียนส์ แล้วก็สำหรับประวัติการเล่นให้ทีมชาติ
ก็ประมาณนี้ครับ ลงเล่นไป 125 นัด (โดยประมาณ) ยิงไป 11
ประตู
โดยเล่นให้ทีมชาตินัดแรก
เมื่อวันที่ 26/02/1992 ในนัดที่ บราซิล ถล่มเอาชนะอเมริกาไป 3-0
สำหรับเกียรติประวัติของคาร์ลอสกับทีมชาติ ก็มี การคว้าแชมป์โลกเมื่อปี
2002 การคว้าแชมป์โคปา อเมริกัน เมื่อปี 1997
และ 1999 คว้าแชมป์คอนเฟเดอร์เรชั่นคัพ เมื่อปี 1997
ส่วนในเรื่องของบุคลิกส่วนตัวของ คาร์ลอส
ก็อาจจะดูเป็นคนที่เงียบขรึมมากไปสักหน่อย คือมองเผินๆแล้วจะดูว่าเขาเป็นคนเครียดๆ
แต่จริงๆแล้วคาร์ลอสเป็นคนที่มีความมุ่งมั่น และมีความตั้งใจสูงมากในการเล่นฟุตบอล
ซึ่งนั่นก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่เขากลายเป็นหนึ่งในแบ็กซ้ายตำนาน
ที่ประสบความสำเร็จสูงสุดคนนึงของโลกครับ
หนึ่งเดียวที่ นักแทงบอลออนไลน์ เชื่อใจเป็นอันดับ 1 การเงินมั่นคง
บริการประทับใจ ฝากถอนไม่ต้องรอนาน มีโปรโมชั่นและมีของรางวัลอีกมากมายให้ร่วมสนุก
ทั้งเดือนเล่นเสียเท่าไรเราคืนให้ 5%
เรามีพนักงานไว้คอยบริการทุกท่าน
2 ก.ค. 2557
น้องเจมส์ คนที่ทำให้ “โคลอมเบียลืม” ฟัลเกา
ก่อนหน้านี้
คุณอาจรู้จักเขาเพียงผิวเผินในชื่อ เจมส์ โรดริเกซ แต่ตอนนี้ ดาวเตะวัย 22 กำลังดังเป็นพลุแตก
หลังทำผลงานกระฉูดช่วยให้ทีมชาติโคลอมเบีย ขโยกเอาชนะ อุรุกวัย 2-0 จนผ่านเข้ารอบแปดทีมสุดท้าย เวิลด์ คัพ 2014 ที่
บราซิล เขาทำให้แฟนๆ ลืมไปเลยว่า ทีมชาติโคลอมเบีย ไม่มีซูเปอร์สตาร์เบอร์หนึ่งอย่าง ราดาเมล ฟัลเกา เพื่อนร่วมสังกัด โมนาโกและต่อไปนี้คือสิ่งที่คุณควรรู้เกี่ยวกับซุปตาร์ดวงใหม่ของโลกลูกหนัง
* เรียกข้าว่า "ฮาเมส"
ฮาเมส เกิดใน กูกูต้า เมื่อปี 1991 โดยพ่อชื่อ วิลสัน ฮาเมส โรดริเกซ เบโดญ่า และแม่ มาเรีย เดล ปิลาร์ รูบิโอ เติบโตในเมือง อิบากู และจริงๆ แล้ว ชื่อของเขาถูกตั้งตาม เจมส์ บอนด์ สายลับบนแผ่นฟิล์ม แต่ด้วยความเป็นชาวโคลอมเบีย เขาจึงอยากให้ทุกคนเรียกตัวเองตามภาษาถิ่นว่า "ฮาเมส" พ่อของเขาเป็นนักฟุตบอลเช่นกัน แต่ทอดทิ้งเขาไปตั้งแต่ยังเล็ก ทำให้ ฮาเมส ต้องอยู่กับพ่อทูนหัวอย่าง ฮวน การ์ลอส เรสเตรโป ที่ช่วยปลุกปั้นให้เขาเดินทางบนถนนสายลูกหนังจนมีวันนี้
* เกี่ยวพัน ปาโบล เอสโกบาร์
ฮาเมส เริ่มต้นชีวิตนักเตะกับทีมโรงเรียน อคาเดเมีย โตลิเมนเซ ก่อนหยุดเล่นไปพักเล็กๆ หลังฉายแสงในทัวร์นาเมนต์ โพนี่ ฟุตบอล แชมเปี้ยนชิพส์ เมื่อปี 2004 นักเตะโคลอมเบียหลายคน นับหนึ่งจากรายการนี้จนก้าวขึ้นไปโด่งดัง แต่เรื่องของ ฮาเมส ไม่ได้เป็นไปตามสเต็ปนี้ ขณะที่ดาวรุ่งหลายราย ยกให้คุณพ่อหรือแม่หรือโค้ชเป็นผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จ ฝ่ายของ ฮาเมส อาจชี้ได้ว่ามี ปาโบล เอสโกบาร์ พ่อค้ายาเสพติดระดับโลกเข้ามามีส่วนช่วยในชีวิต เขาถูก กุสตาโว อดอลโฟ่ อูเปกี โลเปซ หนึ่งในคนสนิทของ ปาโบล เอสโกบาร์ ซึ่งเคยติดคุกนานถึง 21 เดือนเมื่อปี 1998 ดึงตัวจาก อคาเดเมีย ไปยังสโมสร เอ็นวิกาโด้ ที่มาเฟียตัวร้ายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่
* เอ็นวิกาโด้
ฮาเมส ย้ายสู่ เมเดลลิน และถูกโค้ชชื่อ โอมาร์ ซัวเรซ ติวเข้มวิชาลูกหนัง แต่กลับไม่ได้ตอบแทนสโมสรเท่าไหร่ เมื่อเขาได้ลงเล่นให้ทีมชุดใหญ่แค่นัดเดียว ก่อนโดน แบนฟิลด์ ทีมดังในอาร์เจนติน่าฉกไปในปี 2008
* ใน อาร์เจนติน่า
เขากลายเป็นผู้เล่นต่างชาติอายุน้อยสุดที่เล่นในลีกฟ้า-ขาว และระเบิดฟอร์มจนได้รับความสนใจจากหลายยักษ์ใหญ่ โดยเฉพาะในทวีปยุโรป แม้ได้เห็นผลงานแค่นัดเดียวในนัดอัด ลานาอุส 2-0 แต่เว็บไซต์กีฬาดังในอเมริกาใต้อย่าง เดียริโอ โอเล่ ก็เอาเขานำไปเทียบกับ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ พร้อมตั้งฉายา "เจมส์ บอนด์ แห่ง แบนฟิลด์"
* ซบ ปอร์โต้
ฮาเมส เซ็นซบ ปอร์โต้ ยักษ์ใหญ่ในโปรตุเกสเมื่อปี 2010 ด้วยค่าตัว 5.1 ล้านยูโร ในสัญญาสี่ปี โดยมีค่าฉีกสัญญาที่ 30 ล้านยูโร หลังอยู่ได้แค่ปีเดียว ซึ่งเขาปรับตัวได้เร็วมาก ทางสโมสรจึงตระหนักว่า ตัวเองมีเพชรเม็ดงามในมือ จึงจัดการปรับสัญญาใหม่เป็นห้าปี พร้อมค่าฉีกสูงขึ้นเป็น 45 ล้านยูโร ในปี 2011 ฮาเมส รับบทกัปตันทีมชาติโคลอมเบียรุ่นยู 20 ตะลุยศึก ตูลง ทัวร์นเมนต์ และช่วยให้ทีมเข้าถึงรอบแปดทีมสุดท้ายในศึกเยาวชนชิงแชมป์โลกช่วงปลายปี เขาดีขึ้นเรื่อยๆ โดยซัด 14 ลูกและแอสซิสต์อีก 11 ในฤดูกาล 2011/12 จนได้รับรางวัลดาวรุ่งยอดเยี่ยมแห่งปีทั้งๆ ที่อายุแค่ 20
* 10 คะแนนเต็ม
เขาได้รับมอบเสื้อหมายเลข 10 ที่สำคัญมากของ ปอร์โต้ ในฤดูกาล 2012/13 และก้าวขึ้นมาเป็นแกนหลักให้ ปอร์โต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อสโมสรขายดาวดังอย่าง ฮัลค์, เฟรดี้ กัวริน และ ราดาเมล ฟัลเกา ไป
ผลงานที่ยอดเยี่ยมของ ฮาเมส ช่วยให้ทีมกวาดถ้วยแชมป์ถึงแปดใบในสามปี กระทั่ง ปอร์โต้รู้ดีว่าสโมสรตัวเองเล็กเกินไปสำหรับเขา
* สู่ โมนาโก
ในเดือนพฤษภาคมปี 2013 สโมสร โมนาโก จัดการเซ็นสัญญากับ ฮาเมส ด้วยค่าตัวที่ว่ากันว่าอยู่ที่ 24 ล้านปอนด์ ทำให้เขากลายเป็นนักเตะที่แพงที่สุดเป็นอันดับสองในประวัติศาสตร์การซื้อขายของลีกโปรตุเกส
เขาปรับตัวได้รวดเร็วอีกแล้ว และฉายแสงกับทีมใหม่ที่เพิ่งเลื่อนชั้น โดยกดไป 10 ลูก และอีก 12 แอสซิสต์ในซีซั่นแรก แม้ไม่มีถ้วยรางวัล แต่ดาวเตะวัย 22 ก็ช่วยให้ โมนาโก กลับไปเล่น แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้อีกครั้ง ขณะที่ตัวเอง ก็ติดทีมยอดเยี่ยมแห่งปีศึก ลีก เอิง
* ฮีโร่ ฟุตบอลโลก
เมื่อไม่มี ฟัลเกา ทำให้ ฮาเมส ถูกคาดหวังไว้สูงทีเดียวและเขาก็ไม่ทำให้คนที่เชื่อมั่นผิดหวัง เมื่อยิงได้สี่นัดติดต่อกันที่ทีมลงสนามจนตอนนี้ รั้งอันดับดาวซัลโวฟุตบอลโลก เหนือกว่าดาราดังอย่าง ลิโอเนล เมสซี่ และ เนย์มาร์ หากเขาช่วยให้โคลอมเบีย ดับเจ้าภาพบราซิลได้ในวันศุกร์นี้ รับรองว่า ชื่อของ ฮาเมส โรดริเกซ จะถูกบันทึกในฐานะฮีโร่ของชาติ และดาวเด่นอีกดวงของ เวิลด์ คัพ อย่างแน่นอน
* ชีวิตนอกสนาม
ยามอยู่ห่างจากฟุตบอล ฮาเมสก็ใช้เวลากับภรรยาสาว ดานิเอล่า ซึ่งเป็นน้องสาวแท้ๆ ของ ดาวิด ออสปิน่า
คลิกเลย แทงบอลออนไลน์ กับเรา ที่ทำให้คุณมั่นใจ
รับโปรโมชั่นสุดคุ้ม สมัคใหม่ 500 บาทรับฟรีอีก 300 บาท
สุดยอดกลับฝากครั้งต่อไป ด้วยอีก 30% จากยอดนั้นทันที่
1 ก.ค. 2557
แล้วขาใหญ่ จริงหรือ
ในเรื่องนี้ แพทย์ อธิบายไว้ว่า
ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นข้อกังวล (ข้ออ้าง) ของสาวๆ
กลัววิ่งไปซักระยะหนึ่งน่องอันสวยงามจะกลายเป็นกล้ามเนื้อก้อนแข็ง
แต่ทางด้านวิทยาศาสตร์การกีฬา กล่าวว่า การออกกำลังใดๆ ที่ไม่ได้ใช้แรงเต็มที่
จะไม่ทำให้กล้ามเนื้อเพิ่มขนาด การวิ่งเป็นการใช้งานกล้ามเนื้อที่ละน้อยแต่บ่อยๆ
นานๆ แบบนี้จะมีแต่ความเข็งแรง โดยไม่เพิ่มขนาด
health-benefits-of-runningนอกจากนี้ แจ็ค เอช.วิลมอร์
จากสถาบันสุขภาพนักกีฬาแห่งชาติอเมริกา พบว่า
วิ่งอาจเพิ่มความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อได้ถึงร้อยละ 44
โดยเกือบไม่มีการเพิ่มของขนาดเลย น่องที่ทู่ ตะโพกที่ใหญ่ พุงที่เกะกะ
ต้นขาและแขนที่เทอะทะ เป็นผลจากการสะสมของไขมันในส่วนนั้นๆ การวิ่งเป็นการ รีด
ไขมันอันวิเศษ จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมนักวิ่งหญิงจึงมีรูปร่างเพรียวลม สมส่วน
ผู้หญิงส่วนใหญ่มักจะกลัวว่า
การวิ่งหรือการปั่นจักรยานมากๆ จะทำให้น่องโตเหมือนผู้ชาย
ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง ดังที่ได้กล่าวมาแล้วในตอนต้นว่าการเพิ่มมวลของกล้ามเนื้อต้องอาศัยเพศชาย
คือ Testosterone ผู้หญิงที่ออกกำลังกายจะมีกล้ามเนื้อที่แข็งแรงขึ้น
แต่มัดกล้ามเนื้อจะไม่ใหญ่
woman-runningซึ่งการออกกำลังกายจะทำให้ปริมาณไขมันที่แทรกอยู่ระหว่างมัดกล้ามเนื้อลดลงทำให้รู้สึกว่ากล้ามเนื้อมีความตึงแข็งขึ้น
กว่าเดิมได้บ้าง แต่ถ้าหยุดออกกำลังกายเมื่อใด ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อจะค่อยๆ
ลดลงและมีไขมันมาแทรกมากขึ้น กล้ามเนื้อจะนุ่มลงคล้ายกับระยะก่อนออกกำลังกายได้
(การออกกำลังกายแบบใช้แรงเต็มที่ คือ อย่างที่นักเพาะกายทำกัน โดยการยกน้ำหนักมากๆ
ค้าง ไว้นานๆ แบบนี้จะบริหารให้กล้ามเนื้อใหญ่ขึ้น)
เรื่องน่องใหญ่นั้น ต้องแบ่งเป็น
วิ่งเพื่อสุขภาพ, วิ่งเพื่อลดน้ำหนัก หรือ
วิ่งเพื่อการแข่งขัน ถ้าวิ่งเพื่อสุขภาพ คือ วิ่งอาทิตย์ละ 3 – 4
ครั้งๆ ละ ประมาณ 30-60
นาที ไม่ได้ใช้ความเร็วสูงมาก
ปัญหาเรื่อง น่องใหญ่ หรือ สะโพกใหญ่ คงน้อยมาก แต่สิ่งที่จะได้รับคือ
กล้ามเนื้อน่อง และกล้ามเนื้อต้นขา แข็งแรง สามารถเคลื่อนไหวได้ทนและนานขึ้น
ส่วนนักวิ่งเพื่อการแข่งขัน มีความจำเป็นต้องฝึกซ้อมแทบทุกวัน
และใช้เวลานานเป็นช.ม. คงหลีกเลี่ยงปัญหาเรื่องนี้ได้ยาก แต่ท่านจะเลือกเอาความสวยงามหรือสุขภาพดี
1slidehappy1วิ่งให้ถูกวิ่งอย่างไร
การวิ่งที่ถูกต้องนั้นจะต้องใช้กล้ามเนื้อทุกส่วนของร่างกายช่วยในการส่งตัว
อย่าให้เพียงแค่ขา หรือเท้าเท่านั้น
จะต้องพยายามไม่ลงน้ำหนักทั้งหมดไปที่เท้ามากเกินไปขณะวิ่ง
และถ้าเป็นการเริ่มต้นวิ่งจะต้องไม่หักโหม ไม่วิ่งอย่างรวดเร็ว
เนื่องจากจะทำให้เกิดการเกร็งของกล้ามเนื้อ ทำให้เกิดอาการปวดได้
ควรเริ่มต้นวิ่งเบาๆก่อน แล้วจึงค่อยเพิ่มเวลาให้นานขึ้นเรื่อยๆค่ะ
การวิ่งช้าๆนานประมาณ 30-60 นาทีอย่างต่อเนื่องจะทำให้ร่างกายเผาผลาญไขมันที่สะสมอยู่
แบบค่อยเป็นค่อยไป ทำให้ไม่เกิดอาการปวด
และไม่เป็นการเร่งสร้างกล้ามเนื้อขึ้นมาทดแทน ทำให้ขาไม่ใหญ่ค่ะ
แต่ถ้าคุณเป็นคนที่มีน้ำหนักตัวมากๆ การวิ่งก็ไม่เหมาะสมเนื่องจาก
ในขณะที่วิ่งข้อเข่าและข้อเท้าจะต้องรองรับน้ำหนักและแรงกระแทกเพิ่มขึ้น
ซึ่งอาจก่อให้เกิดการบาดเจ็บได้ จึงขอแนะนำให้ออกกำลังกายเบาๆ อย่างอื่นไปก่อน
เช่น เดิน แล้วเมื่อน้ำหนักเริ่มลดจึงค่อยเปลี่ยนมาเป็นการยิ่งเหยาะๆ
แล้วก็วิ่งเบาๆ ไปเรื่อยๆจะดีกว่า
คลิกเลย แทงบอลออนไลน์ กับเรา ที่ทำให้คุณมั่นใจ
รับโปรโมชั่นสุดคุ้ม สมัคใหม่ 500 บาทรับฟรีอีก 300 บาท
สุดยอดกลับฝากครั้งต่อไป ด้วยอีก 30% จากยอดนั้นทันที่